ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED)

นิยามและความสำคัญของปัญหา ED

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED) หมายถึงภาวะที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวหรือคงการแข็งตัวได้อย่างเพียงพอในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ ปัญหานี้พบได้บ่อยในผู้ชาย เพิ่มขึ้นตามอายุ – มีรายงานการศึกษาว่าผู้ชายอายุประมาณ 40 ปีราว 40% เคยประสบภาวะ ED และตัวเลขนี้เพิ่มเป็นประมาณ 70% ในช่วงอายุ 70 ปี งานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ชายวัยกลางคน (40-70 ปี) กว่า 52% มีความผิดปกติด้านการแข็งตัวในระดับใดระดับหนึ่ง​ ปัจจุบันนี้คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ.2025 จะมีจำนวนผู้ชายทั่วโลกที่ประสบภาวะ ED สูงถึง 322 ล้านคน​ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ED เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก ไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะบุคคล

ความสำคัญของ ED ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงปัญหาทางเพศเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับสุขภาพโดยรวม. ED อาจเป็น สัญญาณเบื้องต้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด – มีข้อมูลว่าเกือบ 50% ของผู้ชายที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) ตรวจพบว่ามีภาวะ ED ร่วมด้วย และ ED มักเกิดขึ้นนำหน้าการวินิจฉัยโรคหัวใจหลายปี (เฉลี่ย 3-5 ปี)​  การวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ (กว่า 90,000 คน) ยังพบว่าผู้ชายที่มี ED มีความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์หัวใจและหลอดเลือด (เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือโรคหลอดเลือดสมอง) สูงกว่ากลุ่มที่ไม่มี ED อย่างมีนัยสำคัญ (เพิ่มขึ้นประมาณ 40-50%)​ ดังนั้น ED จึงถือเป็นตัวบ่งชี้ภาวะสุขภาพที่สำคัญ – การพบ ED ในผู้ชายวัยกลางคนควรให้แพทย์ประเมินปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่นๆ ด้วย

นอกจากนี้ ED ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของผู้ป่วยอย่างมาก แม้ว่าสาเหตุหลักของ ED ในหลายกรณีจะมิได้เกิดจากปัญหาจิตใจโดยตรง แต่การที่ผู้ชายเกิดภาวะนี้ ย่อมบั่นทอนความเชื่อมั่นในตนเอง ก่อให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และทำให้ความสัมพันธ์กับคู่นอนตึงเครียดได้​ ผู้ป่วย ED จำนวนมากและคู่ครองของพวกเขามักเกิดความทุกข์ใจทางอารมณ์อย่างมีนัยสำคัญ และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตลดลงจากปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ การรักษา ED ให้ได้ผลไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังช่วยฟื้นฟูสุขภาวะทางจิตใจและความสัมพันธ์ของผู้ป่วยอีกด้วย

สาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

สาเหตุของ ED มีความหลากหลายและมักเป็น หลายปัจจัยร่วมกัน (multifactorial). โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยทางกาย (organic causes) และปัจจัยทางจิตใจ (psychogenic) รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมและโรคร่วมอื่นๆ:

  • สาเหตุทางกายภาพ: กลุ่มนี้พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนและสูงอายุ และประกอบด้วยหลายระบบของร่างกาย ได้แก่ ปัจจัยหลอดเลือด (vasculogenic) เช่น ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และภาวะที่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงองคชาต (ED จากหลอดเลือดคิดเป็นสัดส่วนสูงที่สุดของ ED ทางกาย); ปัจจัยเมตาบอลิกและต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2, ภาวะอ้วน, กลุ่มอาการเมตาบอลิก และภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ (hypogonadism) หรือความผิดปกติของไทรอยด์ ซึ่งสามารถรบกวนกลไกการแข็งตัวได้ในระดับโมเลกุล  ปัจจัยทางระบบประสาท เช่น โรคทางระบบประสาท (โรคพาร์กินสัน, เส้นเลือดสมองตีบ), การบาดเจ็บไขสันหลัง, เส้นประสาทส่วนปลายเสียหาย (เช่น จากเบาหวาน) หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis) ล้วนสามารถรบกวนการส่งสัญญาณประสาทที่กระตุ้นการแข็งตัว; ปัจจัยทางกายวิภาคหรืออุบัติเหตุ เช่น การบาดเจ็บที่อุ้งเชิงกรานหรือองคชาต การผ่าตัดต่อมลูกหมาก (เช่น การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก) หรือการฉายรังสีในบริเวณอุ้งเชิงกราน ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดความเสียหายต่อเส้นเลือดหรือเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงองคชาต; ยาและสารบางชนิด: ยาหลายประเภทสามารถส่งผลข้างเคียงทำให้เกิด ED ได้ เช่น ยากลุ่มลดความดันโลหิต (โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะและเบต้า-บล็อกเกอร์), ยาต้านเศร้าและยาจิตเวชบางชนิด, ยารักษาโรคต่อมลูกหมาก (เช่น ยา finasteride), ยาเสพติด (แอลกอฮอล์, สารเสพติด)  การสูบบุหรี่จัดและการปั่นจักรยานทางไกลเป็นเวลานาน (ทำให้เกิดแรงกดทับเส้นเลือด/เส้นประสาทบริเวณฝีเย็บ) ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงทางกายอีกประการหนึ่งของ ED

  • สาเหตุทางจิตใจ: ปัจจัยด้านจิตใจหรืออารมณ์สามารถก่อให้เกิดหรือซ้ำเติม ED ได้ แม้ในกรณีที่มีสาเหตุทางกายร่วมด้วย. ภาวะ ความเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับการแสดงออกทางเพศ (performance anxiety) เป็นสาเหตุจิตใจที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ชายอายุน้อยที่เพิ่งเริ่มมีเพศสัมพันธ์หรือมีประสบการณ์ล้มเหลวครั้งก่อน. โรคซึมเศร้า และความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ สามารถลดความต้องการทางเพศและขัดขวางกระบวนการกระตุ้นการแข็งตัวผ่านกลไกทางประสาทเคมี  ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่ครอง (เช่น ความขัดแย้ง, ความเบื่อหน่ายทางเพศ, การขาดความสนใจหรือความไว้วางใจ) ล้วนมีผลทางอ้อมให้เกิด ED ทางจิตใจได้. ผู้ชายที่เผชิญแรงกดดันทางอาชีพหรือชีวิตประจำวันสูง, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, หรือมีภาพลักษณ์ตนเองที่ไม่ดี (เช่น รู้สึกว่าตนเองไม่ดึงดูด) ก็อาจประสบปัญหา ED ชั่วคราวได้จากปัจจัยทางจิตเหล่านี้

  • ปัจจัยผสมผสานและโรคร่วม: ในผู้ป่วยจำนวนมาก ED มักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งทางกายและจิตใจ. ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเบาหวาน (ปัจจัยกาย) อาจมีความวิตกกังวลเรื่องสมรรถภาพ (ปัจจัยจิตใจ) ร่วมด้วย – ทั้งสองส่วนนี้ส่งผลต่อกันและทำให้ ED รุนแรงขึ้น. อายุที่มากขึ้น ก็เป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญต่อ ED โดยทางอ้อม ผ่านการเพิ่มโอกาสเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน. นอกจากนี้ภาวะ ED ยังสัมพันธ์กับ คุณภาพการนอน (เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ) และโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคปอด (COPD), โรคต้อหิน, ต่อมลูกหมากโต (BPH) ซึ่งอาจมิใช่สาเหตุโดยตรงแต่เป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีสุขภาพโดยรวมที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศได้ โดยสรุป แพทย์ผู้ดูแลจำเป็นต้องประเมินผู้ป่วย ED ในภาพรวมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน

กลไกทางชีววิทยาและสรีรวิทยาของการแข็งตัวขององคชาต

ภาพตัดขวางขององคชาต แสดงโครงสร้างภายใน ได้แก่ คอร์ปอรา คาร์เวอโนซา (Corpora cavernosa; ช่องโพรงฟองน้ำคู่ด้านบน) และคอร์ปัส สปงจิโอซัม (Corpus spongiosum; ช่องโพรงฟองน้ำเดี่ยวด้านล่างที่ล้อมรอบท่อปัสสาวะ). เนื้อเยื่อเหล่านี้เป็นเนื้อเยื่อแข็งตัวที่สามารถกักเก็บเลือด ทำให้องคชาตแข็งตัวเมื่อถูกกระตุ้น

การแข็งตัวขององคชาต (penile erection) เป็นกระบวนการทางชีววิทยาที่สลับซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาระหว่างระบบประสาท หลอดเลือด และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเรียบขององคชาต. ภายใต้ภาวะปกติ เมื่อมีสิ่งเร้าทางเพศ (ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเร้าทางกาย เช่น การสัมผัส หรือสิ่งเร้าทางจิตใจ เช่น จินตนาการหรือสิ่งกระตุ้นทางสายตา) สมองส่วนไฮโปทาลามัสจะส่งสัญญาณผ่านระบบประสาท พาราซิมพาเทติก (กระซิก) ลงมายังปล้องกระดูกสันหลังระดับ S2-S4 แล้วส่งต่อผ่านเส้นประสาท pelvic splanchnic nerves ไปยังเส้นประสาทโพรงองคชาต (cavernosal nerves) ที่เลี้ยงอวัยวะเพศ​  เส้นประสาทโพรงนี้หลั่งสารสื่อประสาทสำคัญคือ ไนตริกออกไซด์ (NO) ออกมาที่ปลายประสาท. ไนตริกออกไซด์มีบทบาทเป็น vasodilator ที่กระตุ้นการขยายหลอดเลือดและการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบภายในโพรงคอร์ปอรา คาร์เวอโนซา (corpora cavernosa) และหลอดเลือดแดงขององคชาต​ พร้อมกันนั้นเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดในโพรงองคชาตก็ปลดปล่อยไนตริกออกไซด์เสริมเข้ามา ซึ่งช่วย คงภาวะการขยายหลอดเลือด ให้ต่อเนื่องหลังจากการเริ่มแข็งตัวโดยประสาท​

เมื่อไนตริกออกไซด์แทรกซึมเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ มันจะกระตุ้นเอนไซม์ กวานิลิลไซเคส (guanylyl cyclase) ทำให้ระดับ ไซคลิก GMP (cGMP) ภายในเซลล์สูงขึ้น​ cGMP ที่เพิ่มขึ้นนี้จะไปกระตุ้นโปรตีนไคเนสชนิด G (PKG) ส่งผลให้ช่องแคลเซียมในเซลล์ปิดลงและช่องโพแทสเซียมเปิดออก เกิดการลดระดับแคลเซียมอิสระภายในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ระดับแคลเซียมที่ต่ำลงทำให้กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอดเลือดและโพรงคอร์ปอรา คลายตัว อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เลือดแดงไหลเข้ามาเติมเต็มโพรงคอร์ปอรา คาร์เวอโนซาทั้งสองจนพองตัว​ การขยายตัวของโพรงเหล่านี้จะไปกดทับหลอดเลือดดำที่อยู่รอบๆ (subtunical venules) ทำให้เลือดดำไหลออกจากองคชาตได้ลดลงอย่างมาก (veno-occlusive mechanism)​  ผลลัพธ์คือองคชาตจะแข็งตัวเต็มที่และตึงตัวจนสามารถสอดใส่ได้ โดยมีปริมาณเลือดในองคชาตค้างอยู่สูงสุดและแทบไม่มีเลือดไหลออกจนกว่าจะมีการหลั่งหรือหมดสิ่งเร้าทางเพศ

เมื่อสิ้นสุดการกระตุ้นทางเพศ (เช่น หลังการหลั่งอสุจิ หรือสิ่งเร้าหมดไป) ระบบประสาทซิมพาเทติกจะถูกกระตุ้น นำไปสู่การหลั่งนอร์อีพิเนฟรินที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว. ขณะเดียวกันเอนไซม์ ฟอสโฟไดเอสเทอเรส-5 (PDE5) ในเนื้อเยื่อองคชาตจะเริ่มย่อยสลาย cGMP ให้หมดฤทธิ์ลง​ เมื่อระดับ cGMP ลดต่ำ กล้ามเนื้อเรียบในโพรงองคชาตก็จะหดตัวกลับ หลอดเลือดแดงตีบแคบลง และเลือดส่วนใหญ่ถูกระบายออกทางหลอดเลือดดำ ส่งผลให้องคชาตอ่อนตัวกลับสู่สภาพเดิม จะเห็นได้ว่า กลไกการแข็งตัวขององคชาตต้องอาศัยการทำงานที่ปกติของหลอดเลือดและเส้นประสาท เป็นหลัก ดังนั้นความผิดปกติในกระบวนการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง NO ที่ลดลง, การไหลเวียนเลือดที่ไม่เพียงพอ, หรือการรั่วไหลของเลือดดำที่มากผิดปกติ (venous leak) – ล้วนสามารถก่อให้เกิดภาวะ ED ได้ทั้งสิ้น​

วิธีการวินิจฉัยและประเมินภาวะ ED

การวินิจฉัยภาวะ ED เริ่มจาก การซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยแพทย์จะสอบถามทั้งประวัติทางการแพทย์ โรคประจำตัว และประวัติการใช้ยา ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศของผู้ป่วย  คำถามสำคัญได้แก่ ระดับความแข็งตัวที่ทำได้ในปัจจุบัน (สามารถสอดใส่ได้หรือไม่), ระยะเวลาที่คงการแข็งตัว, การตื่นตัวตอนเช้า (morning erection) ยังเกิดขึ้นหรือไม่, อาการหลั่งเร็วหรือปัญหาทางเพศอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่, รวมถึงปัจจัยทางจิตใจและความสัมพันธ์ เช่น ความเครียดหรือความกังวลใจในเรื่องเพศ​ ​  นอกจากนี้แบบสอบถามมาตรฐานอย่าง ดัชนีชี้วัดสมรรถภาพทางเพศระหว่างประเทศ (International Index of Erectile Function – IIEF) หรือฉบับย่อยที่มี 5 คำถาม (IIEF-5) ถูกนำมาใช้ในการประเมินระดับความรุนแรงของ ED และติดตามผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ คะแนนจาก IIEF-5 สามารถจัดระดับ ED ได้ตั้งแต่ระดับปกติไปจนถึงรุนแรง และเป็นเครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงในงานวิจัยนานาชาติ รวมถึงมีฉบับภาษาไทยใช้งานในผู้ป่วยไทยอย่างแพร่หลาย

การตรวจร่างกายควรมุ่งเน้นทั้งระบบหลอดเลือด, ระบบประสาท, ระบบต่อมไร้ท่อ และตรวจอวัยวะเพศอย่างละเอียด แพทย์จะวัดความดันโลหิต ชีพจร และตรวจหัวใจเพื่อหาสัญญาณของโรคหัวใจหรือหลอดเลือด (เนื่องจาก ED อาจเป็นสัญญาณร่วมของโรคเหล่านี้ดังที่กล่าวแล้ว). การตรวจระบบสืบพันธุ์ชายจะประเมินลักษณะองคชาต (มีแผลเป็นหรือความผิดปกติแต่กำเนิดหรือไม่ เช่น โรคเพโรนีย์ที่มีพลักทำให้องคชาตคด), ขนาดและความเรียบตึงของลูกอัณฑะ (เพื่อดูภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำหรือโรคอื่น), และตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนักในผู้ป่วยสูงอายุหรือมีปัจจัยเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก การตรวจระบบประสาทอาจรวมถึงการทดสอบความรู้สึกบริเวณองคชาตและฝีเย็บ (เช่น biothesiometry ใช้การสั่นวัดความรู้สึก) เพื่อคัดกรองปลายประสาทพร่องหน้าที่ในบางราย​ ทั้งนี้ โดยทั่วไป ยังไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือเครื่องมือใดที่จำเป็นอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับ ED ในการประเมินเบื้องต้นทุกราย; การซักประวัติและตรวจร่างกายที่ครอบคลุมมักเพียงพอในการวินิจฉัยสาเหตุส่วนใหญ่ของ ED​

อย่างไรก็ตาม การตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐาน มักถูกพิจารณาเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้และโรคร่วมที่อาจซ่อนอยู่ โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจเลือดเพื่อประเมินระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) เพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน, ตรวจไขมันในเลือด (cholesterol profile) สำหรับภาวะไขมันสูง, ตรวจความสมบูรณ์ของไตและตับ (blood urea nitrogen, creatinine, liver enzymes) ในรายที่มีโรคร่วม, ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC), และอาจตรวจระดับฮอร์โมน เทสโทสเตอโรนในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนสูงสุด​  แนวทางสมาคมศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะสหรัฐฯ (AUA 2018) แนะนำให้ตรวจฮอร์โมนเพศชายอย่างน้อยหนึ่งครั้งในผู้ป่วย ED แต่บางผู้เชี่ยวชาญอาจเลือกตรวจเฉพาะในรายที่สงสัยภาวะพร่องฮอร์โมน (เช่น มีอาการร่วมอย่างความต้องการทางเพศลดลง, อัณฑะฝ่อลีบ)​ ในกรณีที่ไม่ได้ตรวจในครั้งแรก หากผู้ป่วยรักษาด้วยยา PDE5 inhibitors แล้วไม่ได้ผล ก็ควรตรวจระดับเทสโทสเตอโรนเพิ่มเติมเพื่อดูว่ามีภาวะฮอร์โมนต่ำแฝงอยู่หรือไม่  นอกจากนี้ การตรวจฮอร์โมนอื่นๆ อย่าง LH และโปรแลคติน อาจพิจารณาในรายที่พบฮอร์โมนเพศชายต่ำ เพื่อประเมินความผิดปกติของต่อมใต้สมอง, และตรวจ TSH เพื่อคัดกรองภาวะไทรอยด์ผิดปกติที่อาจมีผลต่อพลังทางเพศ​ การตรวจปัสสาวะเพื่อดูโรคเบาหวานหรือโปรตีนในปัสสาวะก็อาจทำในบางราย. หากผลตรวจพบความผิดปกติ (เช่น น้ำตาลสูง, ฮอร์โมนต่ำ, ไขมันสูง), ควรส่งรักษาหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ ต่อไป เพราะการแก้ไขปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยปรับปรุงภาวะ ED ได้

สำหรับ การตรวจพิเศษเพิ่มเติม จะสงวนไว้สำหรับผู้ป่วยรายที่ซับซ้อนหรือรักษาเบื้องต้นแล้วไม่ได้ผล และควรพิจารณาร่วมกับความต้องการของผู้ป่วยอย่างรอบคอบ (เน้นแนวทาง shared decision-making ร่วมกับผู้ป่วยและคู่ครอง)​ การตรวจเหล่านี้อาจรวมถึง: การตรวจการแข็งตัวขณะหลับ (Nocturnal Penile Tumescence test – NPT) ซึ่งวัดจำนวนและคุณภาพของการแข็งตัวตอนกลางคืนผ่านเครื่องมือ (เช่น RigiScan) – การแข็งตัวตามธรรมชาติขณะหลับมักเกิดในชายสุขภาพดี 3-5 ครั้งต่อคืน การที่ผู้ป่วยยังมีการแข็งตัวเวลากลางคืนปกติบ่งชี้ว่าสรีรวิทยาการแข็งตัวยังทำงานได้ดี สาเหตุ ED ในกรณีนี้อาจเน้นไปทางจิตใจมากกว่า ในทางกลับกัน ถ้าพบความผิดปกติของการแข็งตัวตอนกลางคืน อาจชี้ว่าเป็นสาเหตุทางกาย (เช่น หลอดเลือดหรือประสาทเสียหาย)​ อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน NPT ไม่ได้ใช้เป็นประจำ เนื่องจากความยุ่งยากและมีวิธีอื่นที่เข้าถึงสาเหตุได้ง่ายกว่า​ การตรวจอัลตราซาวด์ Doppler สีของหลอดเลือดองคชาต หลังฉีดยาขยายหลอดเลือด (เช่น alprostadil) เข้าไปในโพรงองคชาต เพื่อประเมินการไหลเวียนเลือดแดงและการรั่วของเลือดดำ – ค่านี้ช่วยบ่งชี้ว่า ED มีสาเหตุหลักจากหลอดเลือดหรือไม่ โดยค่าความเร็วเลือดในหลอดเลือดแดงโพรงองคชาต (peak systolic velocity) ที่ >35 ซม./วินาทีถือว่าปกติ ในขณะที่ค่าต่ำกว่านั้นอาจบ่งบอกหลอดเลือดตีบ (arteriogenic ED) และหากพบการไหลกลับของเลือดดำเร็ว (end-diastolic velocity สูงเกิน 5 ซม./วินาที) อาจบ่งชี้ภาวะหลอดเลือดดำรั่ว (veno-occlusive dysfunction) การฉีดสารทึบรังสี (Angiography) ในกรณีเฉพาะที่สงสัยการอุดตันของหลอดเลือดแดงองคชาตที่แก้ไขได้ เช่น ผู้ป่วยอายุน้อยที่บาดเจ็บหลอดเลือดไปเลี้ยงองคชาตและพิจารณาผ่าตัดต่อหลอดเลือด; การประเมินทางจิตเวช โดยนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ในกรณีที่สงสัยภาวะซึมเศร้าหรือปัญหาทางจิตใจเด่นชัด ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยอาจไม่เปิดเผยปัญหาดังกล่าวง่ายๆ จำเป็นต้องใช้การสัมภาษณ์หรือแบบประเมินทางจิตที่เป็นระบบ

โดยสรุป การวินิจฉัย ED ส่วนใหญ่สามารถทำได้จากประวัติและการตรวจพื้นฐาน. การตรวจทางห้องปฏิบัติการช่วยค้นหาปัจจัยเสี่ยงและโรคร่วม ส่วนการตรวจขั้นสูงสงวนไว้สำหรับรายที่ซับซ้อนหรือต้องการวางแผนการรักษาเฉพาะทาง. แนวทางปัจจุบันเน้นให้ ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจรักษา โดยแพทย์ให้ข้อมูลทางเลือกการรักษาต่างๆ อย่างครบถ้วน แล้วร่วมกันเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการและค่านิยมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ​ เนื่องจากนอกเหนือจากการบำบัดทางจิตใจ (ในกรณี ED ที่เป็นจิตใจล้วนๆ) ยังไม่มีวิธีรักษา ED ทางกายภาพที่ “หายขาด” ได้อย่างถาวรโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์หรือยา – การค้นหาสาเหตุเบื้องหลัง ED มีเป้าหมายหลักเพื่อปรับปรุงสุขภาพองค์รวมของผู้ป่วยและคัดกรองโรคอื่น มากกว่าจะเพื่อหาวิธี “รักษาให้หาย” โดยตรง. ดังนั้น หลังการประเมินเบื้องต้นแล้ว สิ่งสำคัญคือการให้ผู้ป่วยได้ลองรักษาวิธีต่างๆ อย่างเหมาะสม จนพบวิธีที่ได้ผลดีและพึงพอใจ

แนวทางการรักษาภาวะ ED

การรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศมีหลายวิธี ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมและรักษาโรคร่วม, การใช้ยา, การใช้อุปกรณ์ช่วย, การบำบัดทางจิตใจ, จนถึงการผ่าตัด. การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมควรคำนึงถึงสาเหตุของ ED, ความรุนแรงของอาการ, โรคประจำตัวของผู้ป่วย, และความพึงพอใจของผู้ป่วย/คู่ครอง. โดยทั่วไปสามารถลำดับการรักษาจากวิธีที่มีความรุกรานน้อยไปมาก ดังนี้:

1. การปรับพฤติกรรมและรักษาปัจจัยเสี่ยง: เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้ป่วย ED ทุกราย. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ที่ดีต่อสุขภาพช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ (เช่น อาหารเมดิเตอร์เรเนียน), นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ, งดสูบบุหรี่และสารเสพติด, ลดการดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะการดื่มหนัก). มีหลักฐานว่าผู้ป่วย ED ที่เป็นโรคอ้วนสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพได้บางส่วนหลังลดน้ำหนักและออกกำลังอย่างจริงจัง. นอกจากนี้ การควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆ ให้อยู่ในเกณฑ์ดีก็สำคัญมาก เช่น การควบคุมน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน, ควบคุมความดันโลหิต, ลดไขมัน LDL ในเลือด, รักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน (ในกรณีที่พิสูจน์แล้วว่ามีระดับฮอร์โมนต่ำและมีอาการสอดคล้อง) เป็นต้น. การปรับปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงช่วยการแข็งตัวโดยตรง แต่ยัง ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ในระยะยาวซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้ป่วย

2. การรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy): ปัจจุบันยาที่เป็นมาตรฐานอันดับแรกสำหรับ ED คือ ยากลุ่มต้านเอนไซม์ Phosphodiesterase type 5 (PDE-5 inhibitors) ได้แก่ ซิลเดนาฟิล (sildenafil), ทาดาลาฟิล (tadalafil), วาร์เดนาฟิล (vardenafil) และอะวานาฟิล (avanafil). ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ยับยั้ง PDE5 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลาย cGMP ในเนื้อเยื่อองคชาต ส่งผลให้ cGMP คงอยู่นานขึ้นและช่วยการคลายตัวของหลอดเลือด/กล้ามเนื้อเรียบในองคชาตได้นานพอที่จะแข็งตัวเต็มที่​ ยา PDE5i ไม่สามารถกระตุ้นการแข็งตัวได้เอง แต่ต้องอาศัยสิ่งเร้าทางเพศก่อนเพื่อให้ร่างกายหลั่ง NO เริ่มต้นวงจรการแข็งตัว (ยาเพียงช่วยขยายระยะเวลาการแข็งตัว)​ ประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้สูง โดยมีอัตราความสำเร็จในการมีเพศสัมพันธ์สำเร็จสูงถึง ~76% เมื่อใช้ยาอย่างถูกต้อง​ และได้ผลในผู้ป่วยหลากหลายสาเหตุ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน, โรคหัวใจ, ผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนต่ำ)  ยาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติต่างกันไป: ซิลเดนาฟิลและวาร์เดนาฟิลมีระยะออกฤทธิ์ ~4-6 ชม., ทาดาลาฟิลออกฤทธิ์นาน ~24-36 ชม. (จึงบางครั้งเลือกใช้แบบยาประจำวันขนาดต่ำได้), ส่วนอะวานาฟิลมีจุดเด่นคือออกฤทธิ์เร็ว (15-30 นาที) และอาจมีผลข้างเคียงด้านสายตาน้อยกว่า. ผลข้างเคียงทั่วไปของยา PDE5i ได้แก่ ปวดศีรษะ, หน้าแดงร้อน, คัดจมูก, อาหารไม่ย่อย, และบางครั้งมีการเห็นแสงสีฟ้าชั่วคราวในซิลเดนาฟิล​ ข้อควรระวังคือห้ามใช้ร่วมกับยา ไนเตรต (เช่น ไนโตรกลีเซอรินสำหรับโรคหัวใจ) เนื่องจากอาจทำให้ความดันตกอย่างรุนแรง. นอกจากนี้ควรระวังการใช้ร่วมกับยาขยายหลอดเลือดหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก. สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ซิลเดนาฟิล ควรทานขณะท้องว่างเพื่อการดูดซึมที่ดี (อาหารไขมันสูงทำให้ยาออกฤทธิ์ช้า)​ หากผู้ป่วยใช้ยา PDE5 ตัวแรกแล้วไม่ได้ผล ควรลองปรับขนาดหรือเปลี่ยนไปลองยาตัวอื่น เพราะพบว่ามากถึง 50% ของผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาแรก อาจตอบสนองต่อ PDE5i ตัวที่สอง ในรายที่มีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำร่วมด้วย การเสริมเทสโทสเตอโรนอาจช่วยเสริมการทำงานของยา PDE5i ให้ได้ผลดีขึ้น แต่ไม่ควรให้ฮอร์โมนเป็นการรักษาเดี่ยวสำหรับ ED หากผู้ป่วยมีฮอร์โมนปกติ​

นอกจาก PDE5i ยังมียาชนิดอื่นที่ใช้รักษา ED ในกรณีเฉพาะ. ยาฉีดเข้าอวัยวะเพศชาย (Intracavernosal injection therapy) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ใช้ในกรณีที่ยาเม็ดไม่ได้ผลหรือข้อห้าม. ยาที่ใช้ฉีด เช่น ยา Alprostadil (prostaglandin E1) ซึ่งเป็นยาขยายหลอดเลือดที่อนุญาตโดย FDA สำหรับฉีดรักษา ED​ (นอกจากนี้ยังมีสูตรยาผสมที่ไม่เป็นทางการ เช่น Trimix ซึ่งรวม alprostadil, papaverine และ phentolamine). วิธีนี้ผู้ป่วยต้องฉีดยาเข้าที่โพรงคอร์ปอรา คาร์เวอโนซาขององคชาตเองก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 5-15 นาที. อัตราความสำเร็จของการรักษาด้วยยาฉีดถือว่าสูงมาก – รายงานบางฉบับระบุว่าสามารถทำให้องคชาตแข็งตัวได้เพียงพอใน ถึง ~94% ของผู้ป่วย  – จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญเมื่อยาเม็ดใช้ไม่ได้ผล. อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของวิธีนี้คือความไม่สะดวกและความเจ็บปวดจากการฉีด ทำให้ผู้ป่วยบางรายยอมรับได้ยาก. ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ อาการปวดหรือแสบร้อนที่องคชาตขณะยาออกฤทธิ์ (พบได้บ่อยใน alprostadil), ภาวะองคชาตแข็งตัวค้างนานผิดปกติ (priapism) ซึ่งแม้พบไม่บ่อยนักแต่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาทันที (ความเสี่ยง priapism จากยาฉีดคิดเป็นราว 8.8% ของเคส priapism ทั้งหมด)​ และอาจมีพังผืดหรือแผลเป็นในเนื้อเยื่อองคชาตหากฉีดบ่อยๆ. ผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้ควรได้รับการฝึกฝนวิธีฉีดและขนาดยาที่เหมาะสมจากแพทย์ รวมถึงคำแนะนำให้รีบไปโรงพยาบาลหากแข็งตัวนานเกิน 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันความเสียหายถาวรต่อเนื้อเยื่อ​ ​ยา Alprostadil ยังมีรูปแบบ ยาเหน็บท่อปัสสาวะ (Intraurethral suppository) ขนาดเล็ก (ชื่อทางการค้า MUSE) ที่ผู้ป่วยสามารถสอดเข้าทางท่อปัสสาวะเพื่อดูดซึมสู่เนื้อเยื่อโพรงองคชาต แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่าการฉีดและอาจทำให้แสบท่อปัสสาวะได้

3. การใช้อุปกรณ์ช่วย: อุปกรณ์สุญญากาศ (Vacuum erectile device – VED) เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้ยาและไม่ผ่าตัด โดยใช้หลักการสร้างแรงดูดสุญญากาศรอบองคชาตเพื่อดึงเลือดเข้าไปในโพรงคอร์ปอรา คาร์เวอโนซา แล้วใช้ห่วงยางรัดโคนองคชาตไว้เพื่อกันเลือดไหลย้อนกลับ. ผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์นี้ก่อนมีกิจกรรมทางเพศ โดยให้องคชาตแข็งตัวค้างไว้ได้ประมาณ 30 นาทีเมื่อรัดห่วงที่โคนไว้​  การใช้งานต้องอาศัยการฝึกฝนและความคุ้นเคย แต่เมื่อใช้อย่างถูกต้องอุปกรณ์นี้มี ประสิทธิภาพค่อนข้างสูง – รายงานประสิทธิผลโดยรวมประมาณ 70% และบางการศึกษาที่ให้การสอนและติดตามอย่างดีพบว่าสามารถทำให้องคชาตแข็งตัวได้สำเร็จถึง ~94% ของกรณี ข้อดีคือหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงทางระบบของยาและสามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ. ข้อจำกัดคือบางคู่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติหรือยุ่งยากในการเตรียมอุปกรณ์ และอาจมีอาการชาหรืออวัยวะเย็นจากการรัด. โดยรวมแล้ว VED ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยและคุ้มค่า สามารถใช้เป็นการรักษาระยะยาวได้หากผู้ป่วยพึงพอใจ​

4. การบำบัดทางจิตใจและการปรึกษาคู่สมรส: ในผู้ป่วยที่มีองค์ประกอบทางจิตใจเกี่ยวข้อง การทำ จิตบำบัดหรือนักบำบัดทางเพศ (sex therapy) จะช่วยแก้ไขวงจรความวิตกกังวล–ความล้มเหลวซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้น. เทคนิคการบำบัดเช่น Sensate focus (ฝึกการสัมผัสและสร้างความไว้วางใจโดยไม่เน้นการสอดใส่) และการปรับความคิดเรื่องเพศให้ถูกต้อง (cognitive restructuring) สามารถลดความกังวลและเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้ป่วยได้. การมี คู่สมรสหรือคู่นอนเข้าร่วมในการบำบัด ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะ ED มักส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย การสื่อสารที่เปิดเผยและการทำความเข้าใจร่วมกันจะช่วยฟื้นฟูความสนิทสนมและลดแรงกดดันในการมีเพศสัมพันธ์. ในกรณีผู้ป่วยมีโรคทางจิตเวชชัดเจน เช่น ซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง ควรให้การรักษาจิตเวชควบคู่ไป (อาจต้องปรับยาโรคซึมเศร้าให้ไม่มีผลต่อการแข็งตัวมากเกินไป). การบำบัดทางจิตใจมักได้ผลดีใน ED สาเหตุจิตใจหรือกลุ่มวัยหนุ่ม และอาจใช้ร่วมกับการรักษาทางกาย (เช่น ยา) เพื่อเพิ่มความสำเร็จ

5. การผ่าตัดฝังแกนอวัยวะเพศ (Penile prosthesis): ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีข้างต้นทั้งหมดแล้วไม่ได้ผลหรือไม่สามารถใช้วิธีอื่น และยังมีความต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง. การผ่าตัดนี้จะใส่อุปกรณ์เทียมเข้าไปในองคชาต – ปัจจุบันมีสองชนิดหลักคือ ชนิดกึ่งแข็งตัว (malleable/semi-rigid rods) ซึ่งเป็นแกนซิลิโคนคู่ที่ดัดให้อ่อนหรือตั้งขึ้นได้ตามต้องการ, และ ชนิดสูบได้ (inflatable prosthesis) ซึ่งประกอบด้วยกระบอกสูบคู่ในโพรงองคชาต ต่อกับปั๊มที่ฝังในถุงอัณฑะและแทงก์น้ำเกลือในช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถกดปั๊มเพื่อส่งน้ำเกลือเข้าไปในกระบอกสูบทำให้องคชาตแข็งตัว และกดวาล์วปล่อยน้ำให้ยุบเมื่อเสร็จกิจกรรม. การฝังแกนอวัยวะเพศมี อัตราความสำเร็จและความพึงพอใจสูงมาก – เกือบทุกกรณีที่ผ่าตัดสามารถใช้งานได้ผล และแบบสำรวจพบว่าผู้ป่วยและคู่ครองมีความพึงพอใจต่อผลลัพธ์โดยรวมสูงกว่า 90% เนื่องจากช่วยให้กลับมามีเพศสัมพันธ์ได้ใกล้เคียงปกติที่สุด ความเสี่ยงของการผ่าตัดนี้ได้แก่ ภาวะติดเชื้อ (ประมาณ <3%), การทำงานผิดปกติของอุปกรณ์ในระยะยาว (5-10% ใน 10 ปีแรก อาจต้องผ่าตัดแก้ไขหรือเปลี่ยนอุปกรณ์) และการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง. หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะสูญเสียกลไกการแข็งตัวตามธรรมชาติไป (เนื่องจากเนื้อเยื่อแข็งตัวเดิมถูกแทนที่ด้วยแกนเทียม) แต่ในกรณีที่วิธีอื่นใช้ไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการฝังแกนถือว่าคุ้มค่า. การผ่าตัดนี้ควรทำโดยศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะที่มีความชำนาญและต้องมีการปรึกษาให้ข้อมูลผู้ป่วยอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

6. การรักษาอื่นๆ: ในบางกรณีเฉพาะหรือระยะแรกของชีวิตคู่ แพทย์อาจแนะนำ การปรับกิจกรรมทางเพศ เช่น การเปลี่ยนเวลา/สถานที่ลดความกังวล, การใช้สารหล่อลื่นช่วยลดความเจ็บปวด, การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองก่อนเพื่อลดความตื่นเต้นเกินไป เป็นต้น. นอกจากนี้ยังมี ยาทางเลือกและอาหารเสริมบางชนิด ที่ถูกกล่าวอ้างว่าช่วยสมรรถภาพ เช่น โสม, L-arginine, โยฮิมบีน เป็นต้น แต่หลักฐานทางการแพทย์ยังจำกัดและควรใช้อย่างระมัดระวังโดยปรึกษาแพทย์.

โดยสรุป ปัจจุบัน ผู้ป่วย ED แทบทุกรายสามารถรักษาได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ในข้างต้นอย่างสำเร็จ​ แนวทางคือเริ่มจากวิธีง่ายและปลอดภัยก่อน แล้วไล่ระดับไปจนถึงการผ่าตัดหากจำเป็น. การรักษาหลายวิธีสามารถใช้ร่วมกันเพื่อเสริมประสิทธิภาพ เช่น การทานยา PDE5i ร่วมกับใช้เครื่องสุญญากาศ หรือการฉีดยาร่วมกับกินยา เป็นต้น​การเปิดใจพูดคุยกับแพทย์และคู่ครอง รวมถึงการลองปรับใช้วิธีต่างๆ อย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยพบแนวทางที่ได้ผลและมีชีวิตทางเพศที่มีคุณภาพได้อีกครั้ง

ผลกระทบทางจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ภาวะ ED ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อด้านจิตใจ อารมณ์ และคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและคู่ครอง. ผู้ชายหลายคนมองว่าสมรรถภาพทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจและบทบาทความเป็นชาย การที่ไม่สามารถแข็งตัวได้อาจทำให้รู้สึกสูญเสียคุณค่าในตัวเองและเกิด ความรู้สึกล้มเหลว. ผู้ป่วยมักเกิดความวิตกกังวลว่าจะทำให้คู่ครองผิดหวัง และยิ่งพยายามมากก็ยิ่งกดดันตัวเอง เกิดเป็นวงจร anxiety–failure ที่ทำให้อาการแย่ลง. หลายคนอาจหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางเพศหรือแสดงท่าทีเย็นชาต่อคู่ครองเพราะกลัวเผชิญกับความล้มเหลว นำไปสู่ ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ หรือปัญหาครอบครัวตามมา. ผู้ป่วย ED จำนวนไม่น้อยพัฒนาภาวะซึมเศร้าตามหลัง เพราะรู้สึกสิ้นหวังกับสภาพของตนเอง และการมี ED ยังสัมพันธ์กับอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคนทั่วไป

งานวิจัยชี้ว่าแม้ ED จะไม่ได้เกิดจากปัญหาทางจิตใจโดยตรงเป็นส่วนใหญ่ แต่ การมี ED เองสามารถทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจตามมา อย่างเด่นชัด – เช่น ทำให้ความมั่นใจในตนเองลดลง, เพิ่มความเครียดและความวิตกกังวล, และบั่นทอนสายสัมพันธ์กับคู่ครอง​ ผลกระทบเหล่านี้อาจส่งต่อไปยังชีวิตประจำวัน เช่น มีสมาธิในการทำงานลดลง หลีกเลี่ยงกิจกรรมสังคมเพราะอับอาย หรือรู้สึกโดดเดี่ยว. นอกจากนี้คู่ครองของผู้ป่วย ED ก็ได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นกัน หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าตนเองไม่น่าดึงดูดอีกต่อไปหรือรู้สึกโกรธ/เศร้าที่ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป. ED จึงถือเป็น ปัญหาสุขภาพที่กระทบคุณภาพชีวิต ในระดับใกล้เคียงกับโรคเรื้อรังอื่นๆ อย่างเบาหวานหรือข้ออักเสบ เมื่อพิจารณาถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับทั้งผู้ป่วยและคู่ครอง

การจัดการผลกระทบทางจิตใจเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการดูแลผู้ป่วย ED. การให้คำปรึกษาและสนับสนุนด้านจิตใจ ควรมาควบคู่กับการรักษาทางกายภาพ. แพทย์ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจว่า ED เป็นภาวะที่รักษาได้และพบได้บ่อย เพื่อคลายความอับอายและความรู้สึกโดดเดี่ยว. การเชิญคู่ครองเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยก็ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเปิดใจเข้าใจกัน ลดความตึงเครียดและความเข้าใจผิด. ในบางรายที่มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลเด่นชัด อาจต้องใช้ยาและการบำบัดทางจิตเวชร่วมด้วย. เมื่อการรักษา ED ประสบผลสำเร็จ มักพบว่าสภาวะทางอารมณ์และความสัมพันธ์ของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างชัดเจน – ความมั่นใจกลับมา ความพึงพอใจในชีวิตคู่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยสูงขึ้นตามลำดับ. หากแม้การรักษาทางกายยังไม่เห็นผลทันที การได้รับความเข้าใจและสนับสนุนทางใจจากคู่ครองและผู้เชี่ยวชาญก็สามารถช่วยผู้ป่วยรับมือกับปัญหาได้ดียิ่งขึ้น ลดผลกระทบด้านลบที่มีต่อชีวิตลงได้

แนวโน้มงานวิจัยและนวัตกรรมในการรักษา ED ในปัจจุบัน

ปัจจุบันมีความพยายามในการพัฒนาแนวทางการรักษา ED รูปแบบใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูกลไกการแข็งตัวตามธรรมชาติโดยตรง และลดความจำเป็นในการใช้ยาหรืออุปกรณ์ในระยะยาว. นวัตกรรมเด่นๆ และแนวโน้มงานวิจัยล่าสุด ได้แก่:

  • การรักษาด้วยคลื่นเสียงความถี่ต่ำ (Low-Intensity Extracorporeal Shockwave Therapy – Li-ESWT): เป็นเทคนิคใหม่ที่ไม่รุกราน ซึ่งใช้คลื่นเสียงพลังงานต่ำยิงไปยังเนื้อเยื่อองคชาตเพื่อกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ (neovascularization) และฟื้นฟูการทำงานของเยื่อบุหลอดเลือด. แนวคิดคือการรักษาที่ต้นเหตุในผู้ป่วย ED ชนิดหลอดเลือด (เช่น จากเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง) แทนที่จะใช้ยาเฉพาะกิจ. มีงานวิจัยแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมหลอก (sham-controlled RCT) แสดงให้เห็นว่า Li-ESWT สามารถ เพิ่มคะแนนความแข็งตัว (เช่น IIEF หรือ SHIM) ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และผลที่ได้คงอยู่ยาวนานถึง 1-2 ปีหลังการรักษา​ ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถกลับมามีการแข็งตัวที่เพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งยาในช่วงเวลาดังกล่าว. อย่างไรก็ดี ประสิทธิผลในระยะยาวเกินกว่า 2 ปีดูเหมือนจะลดลง และอาจต้องมีการรักษาซ้ำ. Li-ESWT ยังถือเป็นวิธีใหม่ที่อยู่ในขั้นประเมินผล – แม้ผลการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นบวกและไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง แต่ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเกี่ยวกับเกณฑ์ผู้ป่วยที่เหมาะสม, ปริมาณพลังงานที่ใช้, และระยะเวลาผลลัพธ์. หลายประเทศ (รวมถึงประเทศไทยในบางศูนย์) เริ่มมีการให้บริการ Li-ESWT สำหรับ ED ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยา โดยถือเป็น ทางเลือกเสริม นอกเหนือการรักษามาตรฐาน

  • การบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell therapy): เป็นแขนงของการแพทย์ฟื้นฟู (regenerative medicine) ที่มีศักยภาพน่าสนใจสำหรับ ED. การใช้ เซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์ (mesenchymal stem cells) เช่น เซลล์ต้นกำเนิดจากไขมัน (Adipose-derived stem cells – ADSC) หรือจากไขกระดูก นำมาฉีดเข้าที่องคชาต สามารถช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ และเพิ่มจำนวนเซลล์กล้ามเนื้อเรียบในโพรงองคชาตตามงานวิจัยสัตว์ทดลอง. การศึกษาระยะเริ่มต้นในมนุษย์มีรายงานผลในเชิงบวกบางส่วน – เช่น meta-analysis หนึ่งพบว่าการใช้ ADSC ในสัตว์ทดลองช่วยฟื้นฟูการแข็งตัวได้จริงโดยมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ในโพรงองคชาตที่ถูกทำลาย​ มีการทดลองทางคลินิกขนาดเล็กที่ฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าสู่เนื้อเยื่อองคชาตผู้ป่วย ED ที่ไม่ตอบสนองต่อยา พบว่าหลังการฉีดผู้ป่วยบางรายมีคะแนน IIEF ดีขึ้นและสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้. อย่างไรก็ตาม การบำบัดนี้ยังอยู่ในขั้นวิจัยทดลอง (Phase I/II) และต้องการข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลในระยะยาว. ประเด็นที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม ได้แก่ ปริมาณเซลล์ที่เหมาะสม, ชนิดเซลล์ที่ให้ผลดีที่สุด, ความจำเป็นต้องกระตุ้นเซลล์ก่อนฉีดหรือไม่, และความถี่ในการรักษา. นับถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการรักษา ED ด้วยสเต็มเซลล์ที่ผ่านการรับรองสำหรับใช้งานทั่วไป แต่ศักยภาพในระยะยาวคือการทำให้เนื้อเยื่อองคชาตที่เสื่อมสามารถฟื้นตัว จนอาจไม่ต้องพึ่งยา

  • การฉีดพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma – PRP): วิธีนี้นำเลือดผู้ป่วยมาปั่นแยกให้ได้พลาสมาที่อุดมด้วยเกล็ดเลือดและสารกระตุ้นการเจริญเติบโตต่างๆ แล้วฉีดกลับเข้าไปที่องคชาต. แนวคิดคือ PRP อาจช่วยซ่อมแซมหลอดเลือดและเนื้อเยื่อคล้ายกับเซลล์ต้นกำเนิดแต่ใช้วัตถุดิบจากตัวผู้ป่วยเอง. PRP ได้รับความนิยมในเชิงการตลาด (รู้จักกันในชื่อ “P-Shot”) และมีคลินิกเอกชนหลายแห่งโฆษณาว่าสามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้. อย่างไรก็ดี หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่ชัดเจน – รายงานการศึกษาทางคลินิกยังมีจำกัดและผลลัพธ์ที่ได้มีความหลากหลาย. บางงานพบว่าผู้ป่วยมี IIEF ดีขึ้นเล็กน้อยหลังฉีด PRP แต่การศึกษาเหล่านี้มักไม่มีการเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เหมาะสม. คณะผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะส่วนใหญ่ยัง ไม่รับรอง PRP เป็นมาตรฐานการรักษา ED โดยชี้ว่าหลักฐานยังอ่อนและจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติม​ ดังนั้น PRP จึงควรถูกจัดอยู่ในข่ายการรักษาเชิงทดลองเท่านั้นในขณะนี้

  • การรักษาด้วยยีน (Gene therapy): อีกแนวทางหนึ่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาคือการนำยีนเข้าไปแก้ไขหรือเสริมการทำงานของเซลล์ในองคชาตที่มีปัญหา. ตัวอย่างที่มีการทดลองแล้ว ได้แก่ ยีน hMaxi-K ซึ่งเป็นยีนที่ควบคุมการสร้างช่องโปรตีนโพแทสเซียม (BK_{Ca} channel) ในกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด. การแสดงออกของยีนนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวได้ง่ายขึ้นและหลอดเลือดขยายตัวดีขึ้น. ในการทดลองระยะที่ 1 กับผู้ป่วย ED ที่ไม่ตอบสนองต่อยา 11 ราย นักวิจัยได้ฉีด DNA เปลือย (plasmid) ที่มียีน hMaxi-K เข้าสู่โพรงองคชาตของผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับขนาดยาสูงบางรายมีการแข็งตัวที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่องนานหลายเดือน โดยไม่ต้องใช้ยา PDE5 เพิ่มเติม ทั้งยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงจากการรักษา​ นี่เป็นสัญญาณว่า gene therapy อาจเป็นหนทางในอนาคตที่ให้ผลระยะยาวและลดการพึ่งพาการใช้ยาเฉพาะกิจ. ปัจจุบัน gene therapy สำหรับ ED ยังอยู่ในขั้นทดลองระยะต้นเท่านั้น แต่มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ. มีการศึกษายีนเป้าหมายอื่นๆ เช่น ยีนที่กระตุ้นการสร้าง ไนตริกออกไซด์ซินเทส (NOS), ยีนที่ยับยั้งการทำงานของ TGF-β_1 (ที่ทำให้เกิดพังผืดในองคชาต) เป็นต้น. หากเทคโนโลยีนี้พัฒนาสำเร็จ วันข้างหน้าแพทย์อาจสามารถฉีดยีนหรือโมเลกุลเล็กๆ เข้าไปที่องคชาตเพื่อแก้ไขความผิดปกติในระดับเซลล์ ซึ่งจะเป็นการรักษาที่ตรงจุดและยั่งยืนยิ่งขึ้น

  • ยาและเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ: นอกจากแนวทางข้างต้น ยังมีการวิจัยยาและอุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับ ED อย่างต่อเนื่อง. ตัวอย่างเช่น การพัฒนายาในกลุ่ม สารกระตุ้น Guanylate cyclase (sGC stimulators) ซึ่งออกฤทธิ์เพิ่ม cGMP โดยตรง (ไม่ผ่าน NO) อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วยที่กลไก NO เสียไป (มียา riociguat ที่ใช้รักษาปอดตันเรื้อรังอยู่ และอยู่ระหว่างทดลองใน ED), ยากลุ่มตัวรับเมลาโนคอร์ติน (เช่น PT-141 หรือ Bremelanotide) ที่ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทส่วนกลางเพื่อเพิ่มความต้องการทางเพศและช่วยการแข็งตัว (ปัจจุบันอนุมัติสำหรับรักษาภาวะความต้องการทางเพศต่ำในสตรี แต่มีการศึกษานำมาใช้ในชายที่มี ED), นอกจากนี้ การออกแบบแกนอวัยวะเพศเทียมรุ่นใหม่ ที่บางลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือติดตั้งด้วยรีโมทควบคุมไร้สาย ก็มีการพัฒนาเพื่อลดปัญหาของรุ่นเก่า. ยังมีแนวคิดใช้ การกระตุ้นประสาทไฟฟ้า (neurostimulation) เช่น กระตุ้นเส้นประสาทกระเบนเหน็บ (sacral nerve) หรือเส้นประสาทดอร์ซัลขององคชาต เพื่อส่งเสริมการแข็งตัวในผู้ที่มีความเสียหายทางประสาท

กล่าวโดยสรุป แนวโน้มอนาคตในการรักษา ED กำลังมุ่งไปสู่แนวทางที่ รักษาต้นเหตุเชิงการทำงานของเนื้อเยื่อ มากขึ้น แทนที่จะเป็นการรักษาปลายเหตุเฉพาะกิจ. เป้าหมายคือการฟื้นฟูความสามารถในการแข็งตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ลดการพึ่งพายาและเพิ่มความเป็นอิสระให้ผู้ป่วย. แม้งานวิจัยหลายด้านยังอยู่ในขั้นทดลองและต้องการเวลาสะสมหลักฐาน แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้สร้างความหวังว่าในอนาคต ผู้ป่วย ED จะมีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ชายที่ประสบภาวะนี้ทั่วโลก.

แหล่งอ้างอิง:

  1. Bumrungrad Hospital. การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction)

  2. StatPearls – Erectile Dysfunction (2023). [NCBI Bookshelf] – Prevalence and age-related incidence​ Global prevalence​ Pathophysiology of erection, PDE5 inhibitors efficacy​ , etc.

  3. International Journal of Impotence Research (2019). Hui J et al. Trends in erectile dysfunction research 2008-2018. – Quote: “By the year 2025, the number of ED cases worldwide is expected to reach 322 million.”​

  4. StatPearls – ED (2023). Etiology and Cardiovascular link. – ED precedes coronary disease by years​ ; 50% of CAD patients have ED​  ED increases CV risk​

  5. Advances in Urology (2022). Stem cell therapy for ED. – Table of ED causes: vascular, neuro, hormonal, medication, etc​

  6. StatPearls – ED (2023). Psychological impact. – ED damages relationships, causes anxiety and low self-esteem

  7. Asian Journal of Andrology (2024). Shockwave therapy RCT. – Li-ESWT improved erectile function at 1-2 years post-treatment​

  8. Frontiers in Medicine (2023). Stem cell therapy review. – ADSC meta-analysis shows regeneration of erectile tissue​

  9. Cleveland Clinic / JWatch (2021). PRP for ED. – Insufficient evidence for PRP effectiveness​

  10. ScienceDaily (2006). Gene therapy for ED trial. – hMaxi-K gene therapy showed sustained improvement in some patients, potentially obviating on-demand meds​

Shopping Cart