Kamagra เป็นชื่อการค้าของยารักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED) ในผู้ชาย โดยมีตัวยาสำคัญคือ Sildenafil citrate ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์เดียวกับยา Viagra ยา Kamagra ผลิตโดยบริษัท Ajanta Pharma (อินเดีย) มีทั้งรูปแบบเม็ดธรรมดา เม็ดฟู่ละลายน้ำ และ เจลรับประทาน (Kamagra Oral Jelly)
รูปแบบ Kamagra มีดังนี้:
-
เม็ดขนาดมาตรฐาน (เช่น super kamagra)
-
เม็ดฟู่ละลายน้ำ
-
เจลรับประทาน (Kamagra Oral Jelly)
สารออกฤทธิ์หลักและกลไกการออกฤทธิ์
สารออกฤทธิ์หลักใน Kamagra คือ sildenafil citrate ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มยาต้านเอนไซม์ Phosphodiesterase type 5 (PDE5 inhibitor) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและหลอดเลือดบริเวณอวัยวะเพศชาย ทำให้เลือดไหลเวียนเข้าเนื้อเยื่อองคชาตได้มากขึ้นเมื่อมีความตื่นตัวทางเพศ ผลก็คือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเกิดการแข็งตัวและรักษาการแข็งตัวได้นานขึ้น (Sildenafil จะออกฤทธิ์ต่อเมื่อมีการกระตุ้นทางเพศเท่านั้น)
สรรพคุณและการนำมาใช้
Kamagra ถูกนำมาใช้ รักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (ED) ในผู้ชาย ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถแข็งตัวของอวัยวะเพศได้เพียงพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ สาร sildenafil ในยา Kamagra จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ทำให้เกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ง่ายขึ้นและคงอยู่ได้นานขึ้นเมื่อมีความต้องการทางเพศโดยทั่วไป Kamagra จะใช้ในกรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็น ED และต้องการการรักษาด้วยยา (บางครั้งอาจใช้ในผู้ที่มีภาวะหดเกร็งหลอดเลือดปอด ร่วมด้วย แต่การใช้ส่วนใหญ่เน้นที่ ED เป็นหลัก).
วิธีใช้ที่ถูกต้อง
-
ขนาดยา: โดยทั่วไปแพทย์มักเริ่มต้นให้ผู้ใช้รับประทาน Kamagra ขนาด 100 มิลลิกรัม ต่อครั้ง
-
วิธีรับประทาน: รับประทานยา 1 เม็ด (ตามขนาดที่แพทย์สั่ง) ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน มีกิจกรรมทางเพศควรรับประทานตอนท้องว่าง หรือหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่ไปด้วย เพราะอาจทำให้การดูดซึมยาออกฤทธิ์ช้าลง
-
เวลาออกฤทธิ์: ยาจะเริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 30–60 นาทีหลังรับประทาน และฤทธิ์คงอยู่โดยทั่วไปประมาณ 4–5 ชั่วโมง
ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ หน้าแดง (flushing) ท้องอืด คัดจมูก ปวดหลัง หรือมีการมองเห็นเปลี่ยนไปชั่วคราว เช่น เห็นเป็นแสงสีฟ้า มองเห็นไม่ชัด ซึ่งมักไม่รุนแรงและหายได้เอง ผู้ใช้บางรายอาจรู้สึกเวียนศีรษะหรือคลื่นไส้ได้เช่นกัน หากอาการเหล่านี้รุนแรงหรือไม่หายไป ควรหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที.
ผลข้างเคียงร้ายแรงพบได้ไม่บ่อย แต่ต้องเฝ้าระวัง อาการแข็งตัวของอวัยวะเพศนานเกิน 4 ชั่วโมง (priapism) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินต้องรีบพบแพทย์ นอกจากนี้ มีรายงานกรณีเกิด การสูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยินกะทันหัน บางกรณี (เช่น ตาพร่าเฉียบพลัน หูตึงเฉียบพลัน) จึงควรหยุดยาและไปพบแพทย์ด่วนหากเกิดอาการเหล่านี้
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ Kamagra เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา โรคความดันโลหิตสูงหรือต่ำที่ควบคุมไม่ได้ โรคตับหรือไตอย่างรุนแรง หรือผู้ที่มีภาวะโรคตาเกี่ยวกับจอประสาทตา (เช่น ต้อหินชนิดปฐมภูมิ) เนื่องจากยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเหล่านี้ได้.
ข้อห้ามใช้ และ ปฏิกิริยาระหว่างยา
-
ยาไนเตรต (Nitroglycerin, Isosorbide dinitrate ฯลฯ) – ห้ามใช้ร่วมกับ Kamagra โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นอันตราย ยาพวกนี้มักใช้รักษาเจ็บหน้าอก (Angina) อยู่แล้ว จึงต้องระวังอย่างยิ่ง.
-
ยาอัลฟาบล็อกเกอร์ (Alpha-blockers) – ยาในกลุ่มนี้ (เช่น ยารักษาต่อมลูกหมากโตบางชนิด หรือยาแก้ความดันโลหิต) อาจเพิ่มผลข้างเคียงทำให้ความดันโลหิตลดต่ำเมื่อใช้ร่วมกับ Kamagra
-
ยาต้านเชื้อรา/ไวรัสบางชนิด – เช่น Ketoconazole, Itraconazole, Ritonavir จะยับยั้งการเมตาบอลิซึมของ sildenafil ทำให้ระดับยาสูงขึ้นในเลือด เพิ่มความเสี่ยงผลข้างเคียง
-
ยา ED ตัวอื่นๆ (PDE5 inhibitors) – ห้ามรับประทานพร้อมกัน เช่น ห้ามใช้ sildenafil (Kamagra) ร่วมกับยาอื่นในกลุ่มเดียวกันอย่าง tadalafil หรือ vardenafil เพื่อป้องกันผลข้างเคียงทับซ้อน
นอกจากนี้ ผู้ใช้ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่รับประทานอยู่ รวมถึงอาหารเสริมหรือสมุนไพรทุกชนิด เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้น.
สรุป
Kamagra เป็นยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่มีตัวยา sildenafil citrate เหมือนกับ Viagra (ทั้งในรูปแบบเม็ดและเจล) ยานี้ออกฤทธิ์โดยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ ช่วยให้เกิดการแข็งตัวได้ง่ายขึ้นและนานขึ้น อย่างไรก็ดี Kamagra ยังไม่ได้รับการตรวจสอบหรือรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานทางการแพทย์ในหลายประเทศ ผู้ใช้จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกายของตน.