ไวอากร้า (Viagra) คืออะไร และกลไกการทำงานในร่างกาย
ไวอากร้า (ชื่อสามัญซิลเดนาฟิล) เป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่มตัวยับยั้งเอนไซม์ฟอสโฟไดเอสเตอเรสชนิดที่ 5 (PDE-5 inhibitors) ยานี้ช่วยขยายหลอดเลือดในอวัยวะเพศชาย โดยทำให้สาร cGMP ซึ่งกระตุ้นการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบคงอยู่ในหลอดเลือดได้นานขึ้น ผลที่ได้คือหลอดเลือดขยายตัว เลือดไหลเข้าสู่เนื้อเยื่ออวัยวะเพศได้ดีขึ้น ทำให้แข็งตัวได้ง่ายขึ้นและคงสภาพได้นานขึ้น ไวอากร้าได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ (FDA) ให้ใช้รักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศตั้งแต่ปี 1998
การใช้ไวอากร้าในทางการแพทย์อย่างเหมาะสม
โดยทั่วไป ไวอากร้าใช้รักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (ED) ซึ่งเป็นทางเลือกแรกสำหรับการรักษาแพทย์จะแนะนำให้รับประทานไวอากร้าก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยขนาดปกติอยู่ที่ 25–100 มิลลิกรัมต่อครั้ง (ปรับตามการตอบสนองและผลข้างเคียงของแต่ละบุคคล) ตามข้อบ่งชี้ทั่วไปไม่ควรรับประทานยาเกินวันละ 1 เม็ดการรับประทานร่วมกับอาหารไขมันสูงหรือดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากอาจทำให้ยาส่งผลช้าหรือเพิ่มโอกาสเกิดอาการข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ.
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ไวอากร้า
-
ผลข้างเคียงทั่วไป: หน้าแดง (flush), ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, มองเห็นภาพพร่ามัวหรือมีโทนสีฟ้า-เขียวชั่วคราว, คัดจมูก และเวียนศีรษะ
-
ผลข้างเคียงรุนแรง (พบได้น้อย): การสูญเสียการได้ยินหรือการมองเห็นแบบเฉียบพลัน และภาวะอวัยวะเพศแข็งติดต่อกันนานเกินกว่า 4 ชั่วโมง (Priapism) หากเกิดอาการเลือดไหลเวียนผิดปกติรุนแรง เช่น แข็งตัวนานเกินไปหรือมองไม่เห็น ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ความเสี่ยงเมื่อใช้ไวอากร้าบ่อยเกินไปหรือนอกเหนือคำแนะนำของแพทย์
-
ปฏิกิริยาร่วมกับยาอื่น: การใช้ไวอากร้าเกินขนาดหรือใช้บ่อยโดยไม่มีคำแนะนำแพทย์ อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ความดันต่ำ หรือปวดศีรษะรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้ร่วมกับยาตระกูลนาทาเตรต (เช่น nitroglycerin) จะทำให้ความดันเลือดลดลงอย่างฮวบ ส่งผลถึงภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองได้
-
การพึ่งพาทางจิตใจ: การใช้บ่อยเกินไปเพื่อสร้างความมั่นใจอาจทำให้เกิดภาวะพึ่งพายาในด้านจิตใจ (psychological dependence) ผู้ใช้บางคนอาจรู้สึกว่าไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หากไม่ได้ใช้ยา
-
ยาปลอมหรืออาหารเสริมอันตราย: การซื้อไวอากร้าจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ (เช่น ร้านสะดวกซื้อ) มีความเสี่ยงสูง เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อ้างว่าเป็นไวอากร้าอาจมีตัวยาอื่นเจือปนหรือปริมาณตัวยาไม่ชัดเจน ซึ่ง FDA เตือนว่าอาจเป็นอันตราย
ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ไวอากร้า เช่น
-
โรคหัวใจหรือหลอดเลือด: ผู้ที่เคยมีโรคหัวใจขาดเลือด, หัวใจวาย หรือภาวะหัวใจเต้นผิดปกติภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา ควรหลีกเลี่ยงการใช้
-
โรคความดันโลหิต: ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือความดันโลหิตต่ำมาก และควบคุมไม่ได้นั้นเสี่ยงต่อภาวะความดันเลือดต่ำร่วม
-
โรคตับหรือไตรุนแรง: ผู้ป่วยที่มีภาวะตับวายหรือไตวายขั้นรุนแรง (ต้องฟอกเลือด) ควรระวังการใช้ยา
-
โรคทางตา: ผู้ที่มีโรคต้อหินมุมปิด หรือโรคทางพันธุกรรมที่จอประสาทตา (บางชนิด) ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากไวอากร้าอาจกระทบการไหลเวียนเลือดตา
-
การใช้ยาร่วม: ต้องระวังหากรับประทานยารักษาความดันโลหิตหรือยาอื่นๆ (เช่น ยาลดความดันชนิดนาทาเตรต) เพราะอาจเกิดปฏิกิริยากันได้
ข้อมูลทางวิจัยเกี่ยวกับการใช้ไวอากร้าเป็นประจำระยะยาว
งานวิจัยระยะยาวพบว่า การใช้ไวอากร้าในผู้ป่วย ED ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี โดยรับประทานตามคำแนะนำทางการแพทย์นั้นไม่ทำให้ประสิทธิผลลดลง (ไม่เกิดภาวะดื้อยา) การศึกษายาวนาน 4 ปีรายงานว่าอัตราการเกิดผลข้างเคียงจากการรักษานั้นต่ำมาก (มีเพียง 3.8% ที่ต้องปรับยาหรือหยุดใช้ยา) และผู้ป่วยส่วนใหญ่ (กว่า 94%) ยังคงพึงพอใจกับประสิทธิภาพของยา ข้อมูลจากองค์การอนามัยแห่งชาติอังกฤษ (NHS) ก็ระบุว่า โดยทั่วไปแล้วการใช้ซิลเดนาฟิลต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีตามแพทย์สั่ง ไม่พบหลักฐานว่ามีผลเสียระยะยาวที่ชัดเจนอย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาติดตามผู้ใช้ไวอากร้าตลอดชีวิต ดังนั้นจึงควรใช้ตามคำแนะนำแพทย์เสมอ.
คำแนะนำจากแพทย์และองค์กรสุขภาพในการใช้ไวอากร้าอย่างปลอดภัย
-
ควรรับประทานไวอากร้าเฉพาะตามคำสั่งของแพทย์และไม่เกินขนาดที่แนะนำห้ามซื้อหรือใช้ยาที่ไม่มีใบสั่งแพทย์ หรือซื้อจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อ้างว่าเป็นไวอากร้า เพราะ FDA เตือนว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจมีตัวยาแอบผสมและอันตราย
-
ควรแจ้งแพทย์ถึงโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต หรือยาลดความดัน ที่อาจมีปฏิกิริยากับไวอากร้า
-
หากพบอาการผิดปกติหรือผลข้างเคียงรุนแรง เช่น อวัยวะเพศแข็งตัวติดต่อกันนานเกิน 4 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แพทย์หรือเภสัชกรสามารถให้คำปรึกษาและช่วยควบคุมการใช้ยาให้ปลอดภัยได้.
แหล่งที่มา: อ้างอิงจากข้อมูลทางการแพทย์ เช่น Mayo Clinic, PubMed (StatPearls), และ Cleveland Clinic